เป็นช่วงหนึ่งของเช้าวันว่างๆวันหนึ่งเท่านั้นที่อัพ
แต่เมื่อนึกย้อนหลังไปดูชีวิตของใครแต่ละคนแล้ว
พบว่าหลายสิ่งที่เกิดขึ้นมา โดยคนส่วนใหญ่แล้วมักจะพูดว่า
"ช่วยไม่ได้มันเป็นอย่างนี้นิ"แบบสุ่มสี่สุ่มห้าพูด
ถ้าสังเกตุดีๆเเล้ว เขาได้ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วโดยไม่ได้มองเหตุการณ์ระยะยาวและกำลังของตนเอง
ไม่ว่าใคร คนไหนจะพร้อมแค่ไหนก็ตามก็มีสิทธ์เป็นอย่างนี้ได้
ในทางตรงข้ามหากเราได้ตั้งจุดหมายปลายทางแล้วเลือกที่จะเดินไป
ไม่ว่าจะเริ่มต้นจะต่ำต้อยขนาดไหน สุดท้ายก็ไปถึงจุดหมายได้
แค่เวลาเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์บวกกับเวลา
ผมขอยกตัวอย่างส่วนหนึ่งของความสำเร็จของปู่ของผมมาเล่าให้ฟัง
ตอนแรกเริ่มเลย ครอบครัวของปู่ของผมเป็นชาวนาอยู่แห่งหนึ่งของเมืองจีน
ปู่ทวดและย่าทวดของผมเป็นชาวนาที่ไม่มีโชคในการทำนาที่นั่นเลย
เนื่องจากเหตุนั้นทั้งครอบครัวของปู่ของผมเลยตัดสินใจจะย้ายมาที่เมืองไทยตั้งแต่ปู่ของผมอายุยังแค่ 3 ขวบ
โดยหวังว่าจะมีงานทำที่ดีกว่าในเมืองไทย
ก่อนย้ายนั้น เพื่อนๆของปู้ทวด ย่าทวดได้บอกประมาณว่าย้ายไปก็เหมือนกัน
แต่ด้วยความมุ่งมั่นของปู่ทวดและย่าทวดจึงได้ย้ายมา
หลังจากย้ายมา การทำนาทำอะไรก็ดีขึ้นแต่ในวันหนึ่ง ปู่ของผมมีความคิดอยากทำห้างสรรพสินค้าขึ้น
จึงเริ่มศึกษาการทำห้างขึ้นโดยทำร้านชำขึ้นมา
แล้วเริ่มขยายร้านออกไป อีกทางหนึ่งท่านก็ไปศึกษาจากต่างประเทศอีกส่วนหนึ่ง
แล้วมาประยุกต์ใช้กับที่เมืองไทย
คุณปู่ของผมได้ประสพความสำเร็จประมาณอายุ 50 ปี
เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว การตั้งจุดมุ่งหมายมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดแต่แค่
จะกล้าทำหรือเปล่าเท่านั้น
ถ้าในอดีต ครอบครัวของผมไม่ตัดสินใจมาไทย คุณอาจจะเห็นผมนั่งดำนาอยู่ก็เป็นได้
แต่นี่คือปัจจุบัน
หากคุณตั้งจุดมุ่งหมายแล้ว เดินไปตามที่วางไว้
ถึงคุณมีจุดเริ่มต้นแย่กว่าเกษตรกรเพียงใด คุณสามารถทำตัวคุณให้เก่งกว่าคนที่คุณคิดได้เสมอ
แค่คุณจะทำหรือไม่
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
4 ความคิดเห็น:
เอาข้อคิดมาฝาก ก็ดีนะแต่เอามาจากหนักสือใช่ไหมละ ที่รู้ไม่ใช่ไรรู้สึก เป็นหนังสือที่แกให้มา!
ไม่ใช่อะ ประสะการณ์ที่เราได้ยินจากคุณปู้โดยตรงตากหาก ไม่ได้แต่งเรื่อง ยังไงก็ขอบใจมากสำหรับคอมเม้น
- -a อ่าดีเหะมาเล่าให้ฟังกาน เปนข้อคิดที่ดีเหมือนกัน
ให้ความคิดดีจังเลยนะเพื่อน ไม่เพิ่มบ้างหรอ เราว่าแบบนี้ก็ให้คิดได้ดีนะ
แสดงความคิดเห็น